Project “B” : Earning Yield Gap Asset Allocation 70/30

*** เนื่องจากในหลายปีต่อจากนี้นับจากปี 2018 ผมจำต้องไปศึกษาต่อ ซึ่งก็จะมีปัญหาเพราะการไปเรียนต่อนี้ ผมจำต้องระดมทุนเพื่อตระเตรียมไว้ใช้จ่ายด้วย ด้วยเหตุนี้และด้วยความรู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่สามารถดำเนินการลงทุนทดลองไปตลอดรอดฝั่ง ผมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปิดโปรเจกต์เพื่อนำเงินมาใช้ในการศึกษาครับ หวังว่าทุกท่านจะได้โปรดให้อภัย หากมีโอกาสหน้าเมื่อพร้อม ผมจะกลับมาทำโปรเจกต์ทดลองเหล่านี้ต่อให้ได้ครับ 


Project “B” เป็นตัวอย่างการลงทุนที่ผมจะทดลองทำให้ดู โดยอาศัยหลักการลงทุนผสานกันระหว่าง “Asset Allocation” หรือการลงทุนกระจายสินทรัพย์แบ่งสัดส่วน กับ “Earning Yield Gap method” การคำนวณหาผลตอบแทนการลงทุนแบบเปรียบเทียบระหว่าง 2 สินทรัพย์

ในที่นี้โปรเจกต์ B ของเราจะลงทุนในสินทรัพย์คลาสสิก 2 ชนิด คือ หุ้นกับตราสารหนี้ซึ่งมีพลังในการคานอำนาจกันเอง ปกติคำแนะนำหลัก ๆ จะเป็นตัวเลข 60:40 ครับ ลงทุนในหุ้น 60% ที่เหลือ 40% เป็นตราสารหนี้แล้วพอครบ 1 ปีก็ทำการปรับสัดส่วน (rebalance) พอร์ต 1 ครั้งให้เงินกลับมาอยู่ที่ 60:40 เหมือนเดิม เช่น ปีแรกเราลงทุนด้วยเงิน 100 บาท ก็จะต้องแบ่งเป็นลงทุนหุ้น 60 ตราสารหนี้ 40 เมื่อผ่านไป 1 ปีถ้าเงินกลายเป็น 150 เป็นหุ้น 100 ตราสารหนี้ 50 แบบนี้เราก็จะต้องทำให้หุ้นและตราสารหนี้กลับมาอยู่ที่สัดส่วน 60:40 ซึ่งจะต้องสับเปลี่ยนขายหุ้นออกมาเข้าตราสารหนี้ โดยเริ่มต้นใหม่ที่หุ้น 90 ตราสารหนี้ 60 ครับ

ตัวเลขที่ผมใช้เป็นกลยุทธ์ของพอร์ตคือ 70:30 ครับ โดยปกติจะเริ่มต้นที่หุ้น 70% เพื่อพยายามจะให้พอร์ตมีผลตอบแทนที่คาดหวังประมาณ 9% ต่อปี (ให้ชนะเงินเฟ้อ 3 เท่า) และเราจะมีวิธีปรับปรุงครับ เราจะไม่ลงทุนทื่อ ๆ ที่ หุ้น70% โดยเราจะมี range ช่องว่างที่หุ้นสามารถขยับลงทุนได้ตั้งแต่ 55-85% เลยทีเดียว (บวกลบ 15%) โดยใช้การหา Earning Yield Gap เข้ามาเสริมครับ ถ้าตัวเลขนี้สูงเราจะขยับสัดส่วนหุ้นให้สูงขึ้นได้เกิน 70%ครับ วิธีคิดตัวเลขนี้คือ เอา 100 ตั้งแล้วหารด้วย PEตลาดหุ้นไทย(SET) เสร็จแล้วลบด้วยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปีครับ โดยตัวเลขเฉลี่ย Earning Yield Gap (EYG) ตรงส่วนนี้จะอยู่ที่ 4% ครับ ดังนั้น ระบบลงทุนของเราจะเป็นแบบนี้ครับ

eyg

ตัวอย่างตลาดหุ้นไทย P/E 18 จะได้ earning yield ที่ 100/18 = 5.55% ส่วนพันธบัตร 10 ปีให้ yield 3.0% นี่ล่ะครับ Earning Yield Gap คือ 5.55 – 3.0 นิด ๆ = 2.5% + เพราะฉะนั้น เราจะลงหุ้น 65% สำหรับปีนี้ครับ โดยปีหน้าวันที่ 9 กันยา 59 จะทำแบบนี้ rebalance อีกรอบเพื่อปรับสัดส่วนใหม่ ระหว่างนั้นไม่ต้องไปยุ่งมันครับ โดยผมลงทุนวันแรกวันที่ 09/09/2558 ด้วยเงินจำนวน 100,000 บาท เพราะฉะนั้น จะทำการแบ่งเป็นหุ้น 65,000 และตราสารหนี้ 35,000 ครับผม

1) ดู P/E SET ล่าสุดคือหน้านี้ เลื่อนลงไปดูตรงค่าสถิติด้านล่าง Click

2) พันธบัตรเลือก Government Bond แล้วดูตรงช่อง TTM(Yrs.) ที่ใกล้ 10 ปีที่สุดครับ ค่าผลตอบอยู่ที่  Yield(%) Click

สำหรับกองทุนที่จะใช้ลงทุนเป็นตัวแทนหุ้น คือ SCBSET50 ของไทยพาณิชย์ครับ โดยนโยบายของกองทุนนี้จะลงทุนในหุ้น 50 ตัวใหญ่ที่ประกอบกันเป็นดัชนี SET50 ของตลาดหุ้นไทย (โดยมีขนาดมูลค่ารวมกันประมาณ 65-75% ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย) โดยข้อดีที่สุดของกองทุนนี้คือ มีค่าใช้จ่ายรวมต่อปี (total expense ratio) ที่ 0.5-0.6% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในบรรดากองทุนหุ้นไทย ณ ปัจจุบัน และในส่วนของกองตราสารหนี้จะเลือก SCBFP ของค่ายเดียวกัน ให้ง่ายต่อการจัดการครับ ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ประมาณ 0.4% เหมือนกัน เท่ากับว่าพอร์ตการลงทุนนี้จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยระยะยาวที่ประมาณ 0.5% ต่อปีครับผม ซึ่งผมถือว่าน้อยมาก น้อยกว่ากองทุนตราสารหนี้ 100% หลายๆค่ายในไทยอีกต่างหาก (พวกนี้เก็บ 0.5% โดยเฉลี่ย) ที่สำคัญคือ ปกติแล้วถ้าเราจะใช้กองทุนแบบบริหารจัดการ (active fund) มาทำ เราจะมีค่าใช้จ่ายรวมของพอร์ตที่ประมาณ 1.2-1.6% ต่อปีเลยทีเดียว นี่เท่ากับว่า Project B ของเรามีต้นทุนต่ำกว่า 3-4 เท่า ส่วนต่างประมาณ 0.8% – 1.2% นั้นคือผลตอบแทนที่เราจะได้รับในระยะยาวครับ ได้มาโดยการจ่ายค่าธรรมเนียมน้อยกว่านี่ล่ะ กำไรตั้งแต่ลงทุนเห็น ๆ

ทั้งนี้เราสามารถปรับสัดส่วนหุ้นที่เราอยากได้มากหรือน้อยกว่านี้ได้นะครับ ขึ้นอยู่กับว่าเรารับความเสี่ยงผลขาดทุนได้แค่ไหน หรืออายุและเวลาลงทุนวางไว้แบบไหน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจแตกต่างไปตามเป้าหมายของแต่ละคนได้ อย่างผมทำกลางๆที่ 70/30 (หุ้นปกติ 70%) ซึ่งแต่ละคนอาจจะปรับเป็น 80/20 85/15 หรือ 60/40 50/50 40/60 ก็ทำได้ ลองปรับดูให้เหมาะกับเป้าหมายตัวเองครับ

 

โดย ProjectB นี้ก็จะทำการติดตามผลตอบแทนและอัพเดตทุกๆปีด้วยครับ


อัพเดตประจำปี
b-60

 

วันสุดท้ายที่หยุดโปรเจกต์ วันที่ 28/3/2018 จากเงินต้น 100,000 กลายเป็น 127,544 บาท (+27.5%) เริ่มต้นลงทุนวันแรก 9/9/15 ก็ประมาณ 30 เดือน หรือ 2 ปีครึ่ง คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นประมาณ 10.2% ต่อปีครับ

projectb-lastday.PNG


** บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงแนวคิดส่วนตัวเกี่ยวกับวิธีการลงทุนของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาชักชวนให้ลงทุนตาม ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

2 ความเห็นบน “Project “B” : Earning Yield Gap Asset Allocation 70/30”

ใส่ความเห็น